สรุปข้อแตกต่างระหว่างแนวปฏิบัติ พ.ศ.2536 เปรียบเทียบกับแนวปฏิบัติ พ.ศ.2551 | ||||
หัวข้อ | แนวปฏิบัติ พ.ศ.2536 | หัวข้อ | แนวปฏิบัติ พ.ศ.2551 | ความแตกต่าง |
1.การเสนอโครงการ | 1.การเสนอโครงการ | |||
1.มหาวิทยาลัยจะรับงานบริการวิชาการ เฉพาะกรณีที่ได้รับแจ้งจากผู้ประสงค์จะรับบริการอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ขณะเดียวกันก็จะอนุญาตบุคลากรของมหาวิทยาลัยเข้าร่วมดำเนินการโครงการบริการวิชาการก็ต่อเมื่อได้รับแจ้งเชิญและ/หรือขออนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ประสงค์จะรับงานบริการเท่านั้น | 1.มหาวิทยาลัยจะรับงานบริการวิชาการ เฉพาะกรณีที่ได้รับแจ้งจากผู้ประสงค์จะรับบริการอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร ขณะเดียวกันก็จะอนุญาตบุคลากรของมหาวิทยาลัยเข้าร่วมดำเนินการโครงการบริการวิชาการก็ต่อเมื่อได้รับแจ้งเชิญและ/หรือขออนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ประสงค์จะรับงานบริการเท่านั้น | ไม่มี | ||
2. มหาวิทยาลัยจะไม่รับงาน การณีที่ไม่มีหน่วยงานระดับคณะหรือเทียบเท่าเป็นหน่วยบริหารโครงการ ดังนั้นคณะ/หน่วยงาน จะเสนอขอรับงานของหัวหน้าโครงการ จะต้องระบุหน่วยงานระดับคณะหรือเทียบเท่าเป็นหน่วยบริหารโครงการให้ชัดเจน | 2. มหาวิทยาลัยจะรับงาน ที่มีหน่วยงานระดับคณะหรือเทียบเท่าเป็นหน่วยบริหารโครงการเท่านั้น โดยในการเสนอขอรับงานของหัวหน้าโครงการ จะต้องระบุหน่วยงานระดับคณะหรือเทียบเท่าเป็นหน่วยบริหารโครงการให้ชัดเจน | ไม่มี | ||
3.กรณีที่หน่วยงานมีผู้สนใจเสนอโครงการเพื่อขอรับงานเดียวกันมากกว่าหนึ่งราย ขอให้หน่วยงานพิจารณาคัดเลือกโครงการเสนอมหาวิทยาลัยเพียง 1 รายเท่านั้น มหาวิทยาลัยจะคัดเลือกกรณีที่มีการเสนอมาจากหลายคณะ/หน่วยงานเท่านั้น | 3.กรณีที่หน่วยงานมีผู้สนใจเสนอโครงการเพื่อขอรับงานเดียวกันมากกว่าหนึ่งราย ขอให้หน่วยงานพิจารณาคัดเลือกโครงการเสนอมหาวิทยาลัยเพียง 1 รายเท่านั้น มหาวิทยาลัยจะคัดเลือกกรณีที่มีการเสนอมาจากหลายคณะ/หน่วยงานเท่านั้น | ไม่มี | ||
4. กรณีที่มีหน่วยงานหรือองค์กรทั้งภาครัฐ/เอกชน แจ้งความจำนงขอเชิญบุคลากรของมหาวิทยาลัยเข้าร่วมดำเนินโครงการบริการวิชาการ ในลักษณะเป็นที่ปรึกษา เป็นคณะทำงานหรืออื่น ๆ โดยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ไม่ได้เป็นคู่สัญญาโดยตรงกับผู้ว่าจ้าง โครงการบริการวิชาการนั้นๆ จะไม่มีสิทธิ์ใช้ชื่อ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" เป็นหน่วยงานจัดทำรายงาน แต่จะสามารถระบุชื่อมหาวิทยาลัยต่อท้ายชื่อบุคลากรของมหาวิทยาลัย ที่ได้รับอนุมัติให้ไปร่วมดำเนินโครงการได้ในฐานะเป็นหน่วยงานต้นสังกัด | 4. กรณีที่มีหน่วยงานหรือองค์กรทั้งภาครัฐ/เอกชน แจ้งความจำนงขอเชิญบุคลากรของมหาวิทยาลัยเข้าร่วมดำเนินโครงการบริการวิชาการ ในลักษณะเป็นที่ปรึกษา เป็นคณะทำงานหรืออื่น ๆ โดยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ไม่ได้เป็นคู่สัญญาโดยตรงกับผู้ว่าจ้าง โครงการบริการวิชาการนั้นๆ จะไม่มีสิทธิ์ใช้ชื่อ "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" เป็นหน่วยงานจัดทำรายงาน แต่จะสามารถระบุชื่อมหาวิทยาลัยต่อท้ายชื่อบุคลากรของมหาวิทยาลัย ที่ได้รับอนุมัติให้ไปร่วมดำเนินโครงการได้ในฐานะเป็นหน่วยงานต้นสังกัด | ไม่มี | ||
5.มหาวิทยาลัยอาจจะไม่อนุญาตให้หัวหน้าโครงการซึ่งค้างส่งรายงานกับหน่วยงานว่าจ้าง ซึ่งมีหนังสือทวงถามเป็นลายลักษณ์อักษร เสนอโครงการขอรับดำเนินงานบริการวิชาการใหม่ จนกว่าจะสามารถส่งรายงานฉบับสมบูรณ์ของโครงการที่ค้างส่งให้กับผู้ว่าจ้าง | 5.มหาวิทยาลัยอาจจะไม่อนุญาตให้หัวหน้าโครงการซึ่งค้างส่งรายงานกับหน่วยงานว่าจ้าง ซึ่งมีหนังสือทวงถามเป็นลายลักษณ์อักษร เสนอโครงการขอรับดำเนินงานบริการวิชาการใหม่ จนกว่าจะสามารถส่งรายงานฉบับสมบูรณ์ของโครงการที่ค้างส่งให้กับผู้ว่าจ้าง ในการเสนอขอรับงานโครงการใหม่ทุกครั้ง ให้หัวหน้าโครงการสรุปรายงานจำนวนโครงการที่ดำเนินการยังไม่เสร็จ เพื่อประกอบการพิจารณา | ในการเสนอขอรับงานโครงการใหม่ทุกครั้ง หัวหน้าโครงการจะต้องสรุปรายงานจำนวนโครงการที่ดำเนินการยังไม่เสร็จ เพื่อประกอบการพิจารณา (โดยมีแบบฟอร์มให้กรอก) | ||
6.มหาวิทยาลัยมีอำนาจในการตรวจสอบโครงการก่อนที่จะนำเสนอกับผู้ว่าจ้าง ดังนั้นโครงการที่นำเสนอมหาวิทยาลัยจะไม่ถือว่าเป็นความลับ ในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยงานรับผิดชอบสูงสุด | 6. การนำเสนอโครงการต่อผู้ว่าจ้าง โครงการจะต้องผ่านการตรวจสอบจากมหาวิทยาลัยก่อน | ไม่มี | ||
7.การลงนามในสัญญาเป็นอำนาจของมหาวิทยาลัย หากประสงค์จะให้บุคลากรของมหาวิทยาลัยเป็นผู้ลงนามแทน ให้ขออนุมัติจากมหาวิทยาลัยก่อน มหาวิทยาลัยอาจจะระงับการลงนามในสัญญาจ้าง กรณีที่คณะหน่วยงานไม่ส่งสัญญาให้มหาวิทยาลัยตรวจสอบในระยะเวลาที่เหมาะสมก่อนมีการลงนามในสัญญาจ้าง หรือมีมีการแจ้งกำหนดล่วงหน้าว่ามีการลงนามในสัญญาจ้างระหว่างมหาวิทยาลัยกับผู้ว่าจ้าง | 7.การลงนามในสัญญาเป็นอำนาจของมหาวิทยาลัย หากหน่วยงานประสงค์จะขอรับอำนาจไปลงนามแทน มหาวิทยาลัยจะมอบอำนาจให้เฉพาะคณบดี/หัวหน้าหน่วยงานที่รับผิดชอบในการบริหารโครงการเท่านั้น โดยหน่วยงานจะต้องส่งสัญญาให้มหาวิทยาลัยพิจารณาก่อนลงนาม | มอบอำนาจในการลงนามในสัญญาให้เฉพาะคณบดี/ผู้บริหารหน่วยงานที่เทียบเท่าคณะเท่านั้น (เดิมม.มีประกาศเพิ่มเติมมาแล้ว 1460/2550) | ||
2.การบริหารโครงการ | 2.การบริหารโครงการ (โครงการมีการลงนามในสัญญาจ้าง) | |||
1.เมื่อลงนามในสัญญาจ้างแล้วให้ดำเนินการดังนี้ | 1.1เสนอขออนุมัติแต่งตั้งคณะทำงานต่อมหาวิทยาลัย โดยแนบหลักฐานการได้รับความเห็นชอบบุคคลเข้าร่วมเป็นคณะทำงานจากหน่วยงานอื่นหรือหน่วยงานภายนอกประกอบการพิจารณาแต่งตั้ง (เพื่อความรวดเร็ว ควรขออนุมัติจากหน่วยงานต้นสังกัดก่อนทำสัญญา) | 1.1 เสนอขออนุมัติแต่งตั้งคณะทำงานต่อมหาวิทยาลัย โดยแนบหลักฐานการได้รับความเห็นชอบบุคคลเข้าร่วมเป็นคณะทำงานจากหน่วยงานอื่นหรือหน่วยงานภายนอกประกอบการพิจารณาแต่งตั้ง | ||
1.2ให้คณะ/หน่วยงานเสนอขออนุมัติประมาณการค่าใช้จ่าย
ประกอบด้วย 1.2.1 ค่าตอบแทน(ไม่เกิน 70%) 1.2.2 ค่าดำเนินการ 1.2.3 ค่าสำรองจ่าย 10% (ของข้อ 1.2.1+1.2.2) 1.2.4 ค่าธรรมเนียมบริการวิชาการ12% (ของข้อ 1.2.1+1.2.2+1.2.3) |
1.2
เสนอและขออนุมัติประมาณการค่าใช้จ่ายตามระเบียบฯ ประกอบด้วย 1.2.1 ค่าตอบแทนคณะทำงานตามข้อ 1.1 ไม่เกินร้อยละ 70 ยกเว้นกรณีที่โครงการที่ดำเนินการเป็นที่ปรึกษาอย่างเดียว สามารถตั้งค่าตอบแทนได้มากกว่าร้อยละ 70 ของเงินค่าบริการที่ได้รับ 1.2.2 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ 1.2.3 ค่าธรรมเนียมบริการวิชาการไม่น้อยกว่า 15% ของข้อ 1.2.1 และข้อ 1.2.2 1.2.4 ค่าใช้จ่ายอื่นๆ |
(เพิ่มเติม)
แนวปฏิบัติคณะฯ เรื่อง แนวปฏิบัติเกี่ยวกับ "ค่าใช้จ่ายอื่นๆ" ตามหนังสือที่ มอ. 208.1/ว.240 ลงวันที่ 9 มิถุนายน 2552 |
||
โดยค่าธรรมเนียมตามข้อ1.2.4
จะต้องจัดสรรให้กับคณะ/หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยอาจแจงรายการตอนขอเสนออนุมัติประมาณการค่าใช้จ่ายหรือตอนขออนุมัติปิดโครงการก็ได้โดยจัดสรรให้กับหน่วยงานต่างๆ
ตามระเบียบดังนี้ 1.2.4.1 ส่วนกลาง(มหาวิทยาลัย) 3% ของ 30% ของงบประมาณทั้งโครงการหรือประมาณ 1% โดยใช้เงินของงบข้อ 1.2.4 (ปัจจุบันปรับเป็น 4% ตามระเบียบเงินรายได้) 1.2.4.2 หน่วยงานที่มีบุคลากรมาร่วมเป็นคณะทำงาน (ตามสัดส่วนค่าตอบแทน) 1.2.4.3 หน่วยงานบริหารโครงการ (ตามสัดส่วนของค่าดำเนินการ) + สำรองจ่าย + ค่าดำเนินการที่เหลือ |
การจัดสรรค่าธรรมเนียมบริการวิชาการตามข้อ 1.2.3
จะต้องจัดสรรให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยให้แจงรายการในขั้นจอนขออนุมัติปิดโครงการ ในอัตราตามประกาศมหาวิทยาลัย
ดังนี้ - มหาวิทยาลัย ร้อยละ 1.5 ของค่าธรรมเนียมบริการวิชาการของข้อ 1.2.3 - วิทยาเขต ร้อยละ 2.5 ของค่าธรรมเนียมบริการวิชาการของข้อ 1.2.3 - หน่วยงาน ร้อยละ 11 ของค่าธรรมเนียมบริการวิชาการของข้อ 1.2.3 การจัดสรรค่าธรรมเนียมบริการของหน่วยงานใหกับต้นสังกัดของคณะทำงานจะต้องจัดสรรเป็นสัดส่วนตามค่าตอบแทนที่คณะทำงานได้รับ รายได้จากการดำเนินการโครงการที่เหลือจ่ายให้ถือเป็นรายได้ของหน่วยงานบริหารโครงการ |
มีการเพิ่มสัดส่วนของค่าธรรมเนียม ในส่วนของวิทยาเขต และระบุสัดส่วนของแต่หน่วยงานใหม่ (15%) | ||
กรณีที่โครงการไม่ได้ตั้งหรือไม่ได้รับงบประมาณข้อ 1.2.3 และ ข้อ 1.2.4 จากผู้ว่าจ้าง ให้จัดประมาณการค่าใช้จ่ายตามระเบียบโดยจะต้องเกลี่ยงบประมาณจาก ข้อ 1.2.1 ถึง ข้อ 1.2.4 โดยหลักสำคัญของข้อ 1.2.3 คือการที่จะต้องมีงบประมาณไว้ใช้แก้ปัญหาความเสี่ยงและความไม่แน่นอนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในการดำเนินงาน และหากโครงการมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณในข้อ 1.2.3 (ค่าสำรองจ่าย) ให้เสนอขออนุมัติต่อมหาวิทยาลัยหลังจากที่ได้ดำเนินโครงการไปแล้วไม่น้อยกว่า 75% พร้อมชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นให้ชัดเจน | ไม่มี | ตามระเบียบมหาวิทยาลัยฯ ว่าด้วยการให้บริการวิชาการ พ.ศ.2551 "การตั้งสำรองจ่ายหรือไม่ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของหัวหน้าโครงการ" | ||
กรณีที่โครงการประสงค์จะบริหารงบประมาณให้ลักษณะเงินอุดหนุนและประสงค์จะถัวเฉลี่ยจ่ายค่าใช้จ่ายก็ให้งดเว้นการนำงบประมาณตามข้อ 1.2.3 และข้อ 1.2.4 มาถัวจ่ายและจะต้องระบุให้ชัดเจนในขั้นตอนการขออนุมัติโครงการ เพราะการถัวจ่ายจะต้องใช้หลักฐานในการจัดสรรค่าธรรมเนียมบริการวิชาการ ตามข้อ 1.2.4.2 และข้อ 1.2.4.3 ทั้งนี้การนำข้อ 1.2.1 มาถัวจ่ายจะต้องไม่ทำให้งบประมาณส่วนนี้มากกว่า 70% ของงบประมาณทั้งหมด และหากโครงการประสงค์จะให้มหาวิทยาลัยหักค่าใช้จ่ายตามข้อ 1.2.3 และข้อ 1.2.4 ในงวดท้ายๆ ก็ให้แนบหลักฐานการแบ่งจ่ายงวดค่าจ้างจากผู้ว่าจ้างประกอบการพิจารณาด้วย | กรณีที่โครงการประสงค์จะบริหารงบประมาณในลักษณะเงินอุดหนุนและประสงค์จะถัวเฉลี่ยจ่ายค่าใช้จ่าย ก็ให้งดเว้นการนำงบประมาณ ตามข้อ 1.2.3 และข้อ 1.2.4 มาถัวเฉลี่ยจ่าย | (เพิ่มเติม)
แนวปฏิบัติคณะฯ เรื่อง "การแจ้งหักค่าธรรมเนียมบริการวิชาการในทุกงวดของโครงการ" ตามหนังสือที่ มอ. 208.1/025 ลงวันที่ 20 มกราคม 2552 |
||
2.การบริหารโครงการ (โครงการที่ไม่มีการลงนามในสัญญาจ้าง) | ||||
1. ก่อนนำเสนอมหาวิทยาลัยพิจารณาอนุมัติโครงการ จะต้องผ่านการตรวจสอบความถูกต้องจากฝ่ายการเงินและฝ่ายที่รับผิดชอบดูแลด้านบริการวิชาการของหน่วยงาน ตามระเบียบที่เกี่ยวข้องก่อนทุกครั้ง | (เพิ่มเติม) แนวปฏิบัติการบริหารโครงการ ตามระเบียบมหาวิทยาลัยฯ ว่าด้วยการให้บริการทางวิชาการ พ.ศ.2551 มีการเพิ่มเติมในส่วนของการบริหารโครงการที่ไม่มีการลงนามในสัญญาจ้างที่ชัดเจนขึ้น โดยการขออนุมัติโครงการจะต้องผ่านการตรวจสอบความถูกต้องจากฝ่ายที่รับผิดชอบดูแลด้านบริการวิชาการของหน่วยงาน ก่อนทุกครั้ง | |||
2. การให้บริการวิชาการตามระเบียบฯ ข้อ 6 (1) การวิเคราะห์ ทดสอบ ตรวจสอบและตรวจซ่อม การให้บริการเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ต้องเสนอขออนุมัติต่อมหาวิทยาลัย หัวหน้าหน่วยงานสามารถอนุมัติดำเนินการได้เอง โดยให้ฝ่ายการเงินและฝ่ายที่รับผิดชอบดูแลด้านบริการวิชาการของหน่วย งานเป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้อง | (เพิ่มเติม)
การประมาณการค่าใช้จ่ายให้เป็นไปตามระเบียบมหาวิทยาลัยฯ ว่าด้วยการให้บริการทางวิชาการ พ.ศ.2551 ตามข้อ 9.1 |
|||
3. การประมาณการค่าใช้จ่าย ให้ประมาณการค่าใช้จ่ายตามระเบียบฯ ข้อ
9 ทั้งนี้ให้ถือปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังหรือระเบียบของมหาวิทยาลัย 4. การขออนุมัติเปลี่ยนแปลงงบประมาณค่าใช้จ่าย กรณีรายรับมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเพิ่ม ขึ้นหรือลดลงตั้งแต่ 20 % ขึ้นไป หน่วยงานจะต้องเสนอขออนุมัติเปลี่ยนแปลงค่าใช้จ่ายต่อมหาวิทยาลัยก่อนเสนอขออนุมัติเบิกจ่าย 5. เมื่อเสร็จสิ้นโครงการ ภายใน 30 วัน หน่วยงานจะต้องดำเนินการเบิกจ่ายและจัดสรรค่าธรรมเนียมบริการให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในอัตราตามประกาศมหาวิทยาลัย ทั้งนี้ให้ผ่านขั้นตอนการตรวจสอบตามข้อ 1 และจัดส่งไปยังกองคลัง รายได้จากการดำเนินการโครงการที่เหลือจ่ายให้ถือเป็นรายได้ของหน่วยงานบริหารโครงการ |
||||
2. การส่งรายงานและแจ้งการขอเบิกเงินค่าจ้าง | 2.1 การส่งรายงานความก้าวหน้า คณะ/หน่วยงานบริหารโครงการ อาจส่งรายงานความก้าวหน้าไปยังผู้ว่าจ้างได้โดยตรง โดยจะต้องส่งสำเนาหนังสือนำส่งและรายงานความก้าวหน้า 1 ฉบับ ไปยังกอบบริการการศึกษา วิทยาเขตหาดใหญ่เพื่อเป็นหลักฐานในการติดตามและประสานงาน | 2.1 การส่งรายงานความก้าวหน้า หน่วยงานบริหารโครงการสามารถส่งรายงานความก้าวหน้าไปยังผู้ว่าจ้างได้โดยตรง ทั้งนี้จะต้องส่งสำเนาหนังสือนำส่งและรายงานความก้าวหน้า 1 ชุด ไปยังหน่วยงานกลางที่รับผิดชอบด้านบริการวิชาการของแต่ละวิทยาเขต เพื่อเป็นหลักฐานในการติดตามและประสานงาน | มีเปลี่ยนแปลงในเรื่องการจัดส่งเอกสาร เดิมให้จัดส่งให้กองบริการการศึกษา โดยเปลี่ยนแปลงให้ส่งไปยังหน่วยงานกลางที่ที่รับผิดชอบของแต่ละวิทยาเขตของหน่วยงาน | |
2.2 การส่งรายงานฉบับสมบูรณ์ ให้คณะ/หน่วยงานบริหารโครงการ เสนอเรื่องไปยังมหาวิทยาลัย เพื่อมหาวิทยาลัยจัดส่งให้ผู้ว่าจ้าง | 2.2 การส่งรายงานฉบับสมบูรณ์ ให้หน่วยงานบริหารโครงการเสนอเรื่องไปยังมหาวิทยาลัย เพื่อให้มหาวิทยาลัยเป็นผู้ลงนามหนังสือนำส่งรายงานให้ผู้ว่าจ้างเท่านั้น ทั้งนี้รายงานฉบับสมบูรณ์จะต้องจัดส่งให้มหาวิทยาลัยจัดเก็บด้วย 1 ชุด | ให้จัดส่งรายงานฉบับสมบูรณ์ให้มหาวิทยาลัยจัดเก็บ 1 ชุดด้วย | ||
2.3 การแจ้งการขอเบิกค่าจ้าง มหาวิทยาลัยจะเป็นผู้แจ้งการขอเบิกเงินค่าจ้างในแต่ละงวดไปยังผู้ว่าจ้าง โดยอาจแจ้งไปพร้อมกับการส่งรายงาน หรือแจ้งหลังจากทราบผลการตรวจรับงานแล้ว กรณีที่ต้องการแจ้งพร้อมกานส่งรายงความหน้า คณะ/หน่วยงานบริหารโคงการจะต้องส่งรายงานความก้าวหน้าไปยังมหาวิทยาลัยเพื่อส่งให้ผู้ว่าจ้าง | 3. การเรียกเก็บเงินค่าจ้าง | มหาวิทยาลัยจะเป็นผู้แจ้งการขอเรียกเก็บเงินค่าจ้างในแต่ละงวดไปยังผู้ว่าจ้าง
โดยอาจแจ้งไปพร้อมกับการส่งรายงานหรือแจ้งหลังจากทราบผลการตรวจรับงานแล้ว
กรณีต้องการแจ้งพร้อมการส่งรายงานความก้าวหน้า หน่วยงานบริหารโครงการจะต้องแนบรายงานความก้าวหน้าไปยังมหาวิทยาลัย
จำนวน 1 ชุด |
ไม่มี | |
3.การรับค่าจ้างและการยืมเงินทดรองจ่าย | 3.1 ผู้ว่าจ้างจะต้องจ่ายค่าจ้างต่อมหาวิทยาลัย โดยระบุเช็คสั่งจ่าย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และในการรับเช็คจากผู้ว่าจ้าง หากประสงค์จะให้มหาวิทยาลัยหรือมอบหมายให้ผู้ใดไปรับเช็คแทน ก็ขอให้แจ้งกองบริการการศึกษา วิทยาเขตหาดใหญ่ เพื่อดำเนินการในการมอบอำนาจเป็นการด่วน | 4. การรับค่าจ้าง การยืมเงินทดรองจ่ายและการเบิกจ่ายเงิน | 4.1
ผู้ว่าจ้างจะต้องจ่ายค่าจ้างต่อมหาวิทยาลัย
โดยระบุเช็คสั่งจ่ายในนามมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เท่านั้น
และในการรับเช็คจากผู้ว่าจ้างหากประสงค์จะให้มหาวิทยาลัยหรือมอบหมายให้ผู้ใดไปรับเช็คแทน
ให้หน่วยงานบริหารโครงการแจ้งไปยังหน่วยงานกลางที่รับผิดชอบด้านบริการวิชาการของแต่ละวิทยาเขต เพื่อดำเนินการในการมอบอำนาจ |
ไม่มี |
3.2 มหาวิทยาลัยจะบริหารงบประมาณประเภทนี้ในลักษณะเงินรับฝาก การขอเบิกเงินหลังมหาวิทยาลัยเรียกเก็บจากเช็คได้แล้ว ให้โครงการเสนอเรื่องขออนุมัติต่อคณบดี/ผู้ดำเนินการของคณะ/หน่วยงาน หลังจากที่ได้รับอนุมัติแล้ว ให้คณะ/หน่วยงานเสนอต่อกองคลัง การเบิกเงินรับฝากกองคลังจะจ่ายให้เฉพาะส่วนที่เกินจากเงินยืมทดรองจ่ายตามข้อ 3.3 (ถ้ามี) เท่านั้น | ไม่มี | ไม่มี | ||
3.3 ในกรณีที่โครงการจำเป็นหรือประสงค์จะยืมเงินทดรองจ่ายจากมหาวิทยาลัย เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการในระหว่างที่ยังไม่ได้รับเงินงวดจากผู้ว่าจ้าง มหาวิทยาลัยจะคิดดอกเบี้ยเงินยืม ตามอัตราดอกเบี้ยของธนาคารในวันที่รับเงินยืมและจะคิดดอกเบี้ยเงินยืมไปจนถึงวันที่มหาวิทยาลัยได้รับเช็คจากผู้ว่าจ้าง หากเช็คที่ได้รับมีจำนวนน้อยกว่าเงินยืม ก็จะคิดดอกเบี้ยเฉพาะเงินยืมที่เป็นส่วนต่าง | 4.2
ในกรณีที่โครงการจำเป็นหรือประสงค์จะยืมเงินทดรองจ่ายจากมหาวิทยาลัย
เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการในระหว่างที่ยังไม่ได้รับเงินงวดจากผู้ว่าจ้าง
มหาวิทยาลัยจะคิดดอกเบี้ยเงินยืมตามอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารในวันที่รับเงินยืม
และจะคิดดอกเบี้ยเงินยืมไปจนถึงวันที่ธนาคารเรียกเก็บเงินตามเช็คได้ 4.3 ในการยืมเงินทดรองจ่ายแต่ละงวดมหาวิทยาลัยไม่อนุญาตให้ยืมเงินค่าธรรมเนียมบริการ 4.4 มหาวิทยาลัยจะหักค่าธรรมเนียมบริการในแต่ละงวดที่ได้รับเงินค่าจ้าง 4.5 การเบิกจ่ายเงินจากมหาวิทยาลัยในแต่ละงวด มหาวิทยาลัยไม่อนุญาตให้เบิกจ่ายค่าธรรมเนียมบริการ |
ในการยืมเงินทดรองจ่ายแต่ละงวดมหาวิทยาลัยไม่อนุญาตให้ยืมเงินค่าธรรมเนียมบริการ และการเบิกจ่ายเงินจากมหาวิทยาลัยในแต่ละงวด มหาวิทยาลัยไม่อนุญาตให้เบิกจ่ายค่าธรรมเนียมบริการ | ||
4. ผู้มีอำนาจสั่งการตามระเบียบฯ ว่าด้วยการให้บริการทางวิชาการ พ.ศ.2536 และการปฏิบัติอื่นๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ คือ | ผู้มีอำนาจสั่งการตามระเบียบฯ ว่าด้วยการให้บริการทางวิชาการ พ.ศ.2536 และการปฏิบัติอื่นๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ คือ อธิการบดีและรองอธิการบดีฝ่ายบริการวิชาการและวิเทศสัมพันธ์ โดยการดำเนินเรื่องในระยะนี้จะต้องผ่านกองบริการการศึกษาและกองคลังวิทยาเขตหาดใหญ่ เท่านั้น | ไม่ระบุไว้ในแนวปฏิบัติ | แต่ระบุมอบอำนาจในคำสั่งมหาวิทยาลัยฯ ที่ 2545/2551 ลว. 24 ธ.ค.2551 เรื่อง มอบตามระเบียบมหาวิทยาลัยฯ ว่าด้วยการให้บริการวิชาการ ให้รองอธิการบดีฝ่ายต่างๆ | |
3. การปิดโครงการ (เพิ่มเติม) | 3. การปิดโครงการ | |||
ให้คณะ/หน่วยงานบริหารโครงการ เสนอขออนุมัติปิดโครงการภายใน 3 เดือน หลังจากที่ได้รับเงินงวดสุดท้ายจากผู้ว่าจ้าง โดยในการเสนอขออนุมัติปิดโครงการให้ระบุการจัดสรรค่าธรรมเนียมบริการวิชาการให้กับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องตามระเบียบฯ และให้เสนอขออนุมัติผ่านกองคลังและสำเนาแจ้งกองบริการการศึกษา สำนักงานอธิการบดีวิทยาเขตหาดใหญ่ทราบด้วย | ให้หน่วยงานบริหารโครงการเสนอขออนุมัติปิดโครงการภายใน 60 วัน หลังจากที่ได้รับเงินงวดสุดท้ายจากผู้ว่าจ้าง โดยให้แจงรายการจัดสรรค่าธรรมเนียมบริการให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในอัตราตามประกาศมหาวิทยาลัย |
มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนวันที่ให้ขออนุมัติปิดโครงการจากเดิม 90 วัน เป็น 60 วัน หลังจากที่ได้รับเงินงวดสุดท้ายจากผู้ว่าจ้าง | ||
4. แนวปฏิบัติเกี่ยวกับบริหารโครงการและค่าใช้จ่ายโครงการบริการวิชาการ(เพิ่มเติม) | 4. แนวปฏิบัติเกี่ยวกับบริหารโครงการและค่าใช้จ่ายโครงการบริการวิชาการ(เพิ่มเติม) | |||
ลักษณะการจัดอบรม/ประชุม/สัมมนา ที่ได้รับการว่าจ้าง ที่เก็บค่าลงทะเบียน หรือที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากหน่วยงาน/องค์กรภายนอก | 1.
ค่าตอบแทนวิทยากร 1.1 วิทยากรที่สังกัดมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 1.1.1 เป็นวิทยากรในการจัดอบรม ณ สถานที่ในจังหวัดที่ตั้งวิทยาเขต/เขตการศึกษาที่วิทยากรสังกัด หรือปฏิบัติงานปกติ ให้จ่ายค่าตอบแทนในอัคราชั่วโมงละไม่เกิน 600 บาท 1.1.2 เป็นวิทยากรในการจัดอบรม ณ สถานที่นอกจังหวัดที่ตั้งวิทยาเขต/เขตการศึกษา ที่วิทยากรสังกัดหรือปฏิบัติงานปกติ ให้จ่ายค่าตอบแทนในอัตราชั่วโมงละไม่เกิน 900 บาท 1.2 วิทยากรภายนอก ที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ ให้จ่ายค่าตอบแทนในอัตราชั่วโมงละไม่เกิน 900 บาท 1.3 วิทยากรภายนอกที่เป็นเอกชน ให้จ่ายค่าตอบแทนในอัตรา ชั่วโมงละไม่เกิน 1,200 บาท ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนวิทยากรที่สูงกว่าอัตราที่กำหนดนี้ ให้ชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นประกอบการพิจารณาด้วย |
4.
อัตราค่าตอบแทนวิทยากร อัตราค่าตอบแทนวิทยากรโครงการบริการวิชาการ ในลักษณะการจัดอบรม ประชุม สัมมนาที่ได้รับการว่าจ้าง ที่เก็บค่าลงทะเบียน หรือที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากหน่วยงานภายนอก ดังนี้ 4.1 ค่าตอบแทนวิทยากรที่เป็นบุคลากรสังกัดมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อัตราค่าตอบแทนชั่วโมงละไม่เกิน 1,000 บาท 4.2 ค่าตอบแทนวิทยากรภายนอกที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ อัตราค่าตอบแทนชั่วโมงละไม่เกิน 1,000 บาท 4.3 ค่าตอบแทนวิทยากรภายนอกที่เป็นเอกชน อัตราค่าตอบแทนชั่วโมงละไม่เกิน 1,500 บาท |
มีการเปลี่ยนแปลงอัตราค่าตอบแทนวิทยากรโครงการบริการวิชาการ
ในลักษณะการจัดอบรม ประชุม
สัมมนาที่ได้รับการว่าจ้าง
ที่เก็บค่าลงทะเบียน
หรือที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากหน่วยงานภายนอก ดังนี้ 4.1 ค่าตอบแทนวิทยากรที่เป็นบุคลากรสังกัดมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อัตราค่าตอบแทนชั่วโมงละไม่เกิน 1,000 บาท จากเดิม ไม่เกิน 600 บาท กรณีสถานที่จัดในจังหวัด/วิทยาเขตที่วิทยากรสังกัด และไม่เกิน 900 บาท กรณีนอกสถานที่ที่วิทยากรสังกัด 4.2 ค่าตอบแทนวิทยากรภายนอกที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ อัตราค่าตอบแทนชั่วโมงละไม่เกิน 1,000 บาท จากเดิม 900 บาท 4.3 ค่าตอบแทนวิทยากรภายนอกที่เป็นเอกชน อัตราค่าตอบแทนชั่วโมงละไม่เกิน 1,500 บาท จากเดิม 1,200 บาท |
|
2.
การเสนอขออนุมัติประมาณการค่าใช้จ่าย กรณีที่ตั้งสำรองจ่ายและค่าธรรมเนียมบริการวิชาการ ไม่เป็นไปตามระเบียบบริการวิชาการฯ ให้ชี้แจงเหตุผลความจำเป็นและรายละเอียดค่าใช้จ่ายที่ชัดเจน เพื่อประกอบการพิจารณา |
2.
การเบิกจ่ายเงินลักษณะอุดหนุน
การเบิกจ่ายเงินลักษณะอุดหนุน คณะ/หน่วยงาน สามารถดำเนินการได้เฉพาะโครงการที่มีสัญญาจ้างและโครงการที่ไม่มีสัญญาจ้างเฉพาะดำเนินการเป็นที่ปรึกษาเท่านั้น และให้ถือปฏิบัติดังนี้ 2.1 ค่าใช้จ่ายสามารถจ่ายเป็นลักษณะเหมาจ่ายได้ 2.2 หลักฐานการใช้จ่ายเงินจัดเก็บไว้ที่หัวหน้าโครงการเพื่อสำหรับการตรวจสอบ 2.3 กรณีมีการเดินทางไปราชการผู้เดินทางจะต้องปฏิบัติตามระเบียบราชการ (จะต้องได้รับอนุมัติจากหัวหน้าหน่วยงานก่อนเดินทางทุกครั้ง) 2.4 โครงการไม่สามารถจัดซื้อครุภัณฑ์ได้ หากไม่ได้ระบุไว้ในสัญญา 3. การตั้งงบประมาณค่าใช้จ่ายของโครงการ การตั้งงบประมาณค่าใช้จ่ายของโครงการที่มีสัญญาจ้าง (ที่ไม่ขอเบิกจ่ายเงิน เป็นลักษณะอุดหนุน) และโครงการที่ไม่มีสัญญาจ้าง ให้ถือปฏิบัติตามระเบียบกระทรวง การคลังหรือระเบียบและแนวปฏิบัติของมหาวิทยาลัย |
การขออนุมัติเบิกจ่ายเงินในลักษณะอุดหนุน
สามารถดำเนินการได้เฉพาะโครงการที่มีสัญญาจ้างและโครงการที่ไม่มีสัญญาจ้างเฉพาะดำเนินการเป็นที่ปรึกษาเท่านั้น
และให้ถือปฏิบัติดังนี้ 2.1 ค่าใช้จ่ายสามารถจ่ายเป็นลักษณะเหมาจ่ายได้ 2.2 หลักฐานการใช้จ่ายเงินจัดเก็บไว้ที่หัวหน้าโครงการเพื่อสำหรับการตรวจสอบ 2.3 กรณีมีการเดินทางไปราชการผู้เดินทางจะต้องปฏิบัติตามระเบียบราชการ (จะต้องได้รับอนุมัติจากหัวหน้าหน่วยงานก่อนเดินทางทุกครั้ง) 2.4 โครงการไม่สามารถจัดซื้อครุภัณฑ์ได้ หากไม่ได้ระบุไว้ในสัญญา |
||
3. สำหรับค่าใช้จ่ายอื่น ให้ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลัง หรือระเบียบมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ | 1.
การเบิกและนำเงินในส่วนของ
ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
ไปใช้ การเบิกและนำเงินในส่วนของ ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ไปใช้ ให้คณะ/หน่วยงานถือปฏิบัติ ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เป็นเงินรายได้ของคณะ/หน่วยงาน อำนาจอนุมัติการใช้จ่ายและการบริหารจัดการเป็นอำนาจของคณบดี/หัวหน้าหน่วยงานนั้น ๆ ตามที่อธิการบดีมอบอำนาจให้ |
การเบิกและนำเงินในส่วนของ ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ไปใช้ ให้คณะ/หน่วยงานถือปฏิบัติ ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เป็นเงินรายได้ของคณะ/หน่วยงาน อำนาจอนุมัติการใช้จ่ายและการบริหารจัดการเป็นอำนาจของคณบดี/หัวหน้าหน่วยงานนั้น ๆ ตามที่อธิการบดีมอบอำนาจให้ | ||